วันแห่งความทุกข์ในรอบเดือน
ก่อน หน้าที่ประจำเดือนมาวันหนึ่งหรือชั่วโมงหนึ่งตะคริวจะมาเยือน ซึ่งทำให้เจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงช่วงเวลาที่ประจำเดือนเริ่มไหลออกมา
วัล วิภาเป็นหญิงสาวที่ดูเหมือนจะโชคดีที่สุดคนหนึ่ง เธอมีชีวิตที่สมบูรณ์พร้อม สุขสบาย ตั้งแต่เรียนจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยชั้นแนวหน้า เข้าทำงานก็ก้าวหน้ารวดเร็วตั้งแต่ยังสาว เจ้านายก็รัก ครอบครัวก็อบอุ่น คุณพ่อคุณแม่รวมทั้งสามีก็คอยให้ความเอาใจใส่ดูแลเธอเป็นอย่างดี แต่กระนั้นเลยเธอก็ยังคงรู้สึกว่าตัวเองขาดความสุขในชีวิตอะไรไปอย่างหนึ่ง
สิ่ง ที่เกิดขึ้นกับวัลวิภาเป็นประจำทุกเดือนตลอดมา ตั้งแต่เข้าสู่วัยสาวเป็นเรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกอย่างนั้น ทุกครั้งก่อนจะถึงวันที่ประจำเดือนมาเธอจะรู้ตัวก่อนเสมอจากอาการสารพัด อย่างที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ใกล้ๆ จะถึงวันนั้น 2-3 วันเธอจะรู้สึกง่วงนอน เซื่องซึมไม่อยากทำอะไร หนักๆ ที่ต้นขาไปถึงท้องน้อย รู้สึกว่าตัวบวม เต้านมคัดตึง อึดอัดไปหมด ตลอดวันนั้นวัลวิภารู้สึกทั้งเจ็บปวดทั้งหงุดหงิดไม่อยากกระดิกตัวไปไหน หรือเคลื่อนไหวทำอะไรทั้งสิ้น เพราะมันเจ็บปวดสะเทือนไปหมดทั้งร่าง แถมยังตามมาด้วยความรู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียน และปวดหัวตึบๆ ตลอดเวลา สิ่งที่ทำได้ก็คือเธอต้องลาหยุดงานเพื่อนอนนิ่งๆ อยู่กับบ้าน
อา การที่วัลวิภาเป็นแบบนี้เกิดขึ้นกับคุณผู้หญิงทั่วโลก จนหลายๆ คนนึกว่าเป็นเรื่องปกติธรรมชาติที่ใครๆ ก็เป็นกันได้ มีสาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศหญิงสูงขึ้นในร่างกาย ผู้หญิงในช่วงก่อนที่จะมีประจำเดือน ซึ่งเกิดขึ้นกับผู้หญิงปกติทุกคน แต่การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนนี้จะส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียงมากหรือน้อย แตกต่างกันไปแล้วแต่คน บางคนอาจเป็นมากเหมือนเป็นคนป่วย ขณะที่บางคนเป็นนิดหน่อยพอทนได้ โดยเฉพาะคนที่สูบบุหรี่ จมอยู่กับความเครียด ออกกำลังกายน้อย นอนน้อย ชอบกินเค็มมาก หรือหวานมาก กินเนื้อแดง หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์เป็นประจำมักพบว่าเกิดอาการไม่สบายตัวเช่นนี้มากกว่าคนอื่น อาการแย่ๆ ทั้งทางร่างกายและจิตใจมักจะเกิดก่อนช่วงเวลาที่ประจำเดือนจะมาประมาณ 1-2 วัน บางคนจะเป็นหนักในวันที่ประจำเดือนมาวันแรก จนถึงวันที่ 3 และจะค่อยบรรเทาลงหลังจากนั้น
การ เปลี่ยนแปลงของระดับ ฮอร์โมนเพศในระหว่างมีประจำเดือนนี้มีศัพท์เรียกหลายอย่าง เช่น premenstrual syndrome (PMS), premenstrual tension หรือ dysmenorrhea ซึ่งยังไม่มีใครตอบได้ชัดเจนว่าทำไมอาการเหล่านี้ถึงเกิดขึ้นกับเฉพาะบางคน และแต่ละคนที่เป็นก็อาจมีอาการต่างๆ ไม่เท่ากันเสมอไป คุณผู้หญิงที่ไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเองมีอาการของ PMS หรือไม่ อาจลองใช้วิธีจดบันทึกของอาการที่เกิดขึ้นก่อนที่จะมีประจำเดือนดูสักประมาณ 2-3 เดือนติดๆ กัน เพื่อสังเกตว่าเกิดอาการคล้ายๆ กันอย่างใดหรือไม่ มีความรุนแรงขนาดไหน และมีระยะเวลาเท่าใด รวมทั้งผลกระทบทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น หากพบว่ามีก็คงจะพอสังเกตเห็นได้ว่าเราเข้าข่ายที่ว่า และเมื่อคุณไปปรึกษาแพทย์ บันทึกที่ทำไว้นี้ก็จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้ง่ายขึ้นเพื่อหาทางบรรเทา อาการต่อไป
รู้ไว้ใช่ว่า !
อาการ ไม่สบายตัวก่อนมีประจำเดือนในแต่ละคนอาจเกิดขึ้นแตกต่างกัน แต่โดยรวมแล้วสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิดคือ อาการทางกาย และอาการทางจิตใจ
อาการทางกาย ได้แก่
- รู้สึกตัวเองอ้วน พองขึ้น ทำให้แน่นและอึดอัด เหมือนว่ามีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
- เจ็บปวดแบบเป็นตะคริวที่บริเวณท้องน้อย(มดลูก)
- เต้านมคัดตึง เจ็บ
- สิวปะทุบริเวณใบหน้า
- ครั่นเนื้อครั่นตัว เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น
- หิวบ่อย
- วิงเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม
- รู้สึกเหนื่อยอ่อน หมดแรง
- ใจสั่น
- ปวดหัว
- ปวดบริเวณกระดูกเชิงกราน
- ปวดหลัง หรือปวดกล้ามเนื้อ
- นิสัยการขับถ่ายเปลี่ยนไปจากปกติ เช่น ท้องผูก หรือท้องเสีย
อาการทางจิตใจ ได้แก่
- หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย
- ก้าวร้าว
- เครียด
- วิตกกังวล
- ซึมเศร้า หดหู่
- อารมณ์แปรเปลี่ยนง่าย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
- เฉื่อยชา ความสนใจต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งเปลี่ยนไป
- นอนไม่หลับ
- เบื่ออาหาร
- อยากร้องไห้
- อารมณ์ทางเพศเปลี่ยนไป
- กระหายน้ำบ่อยๆ
- รู้สึกสับสน
และ เนื่องจากยังไม่มีใครสามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดอาการไม่สบายตัว ก่อนมีประจำเดือนเหล่านี้ได้ นอกจากตั้งข้อสังเกตกันไว้ต่างๆ นานา บ้างก็ว่าเกิดจากขาดวิตามิน B แคลเซียม และแมกนีเซียม บ้างก็ว่าเกิดจากการกินยาเม็ดคุมกำเนิด บ้างก็ว่าเกิดระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือระดับธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำไป ทำให้การรักษาเยียวยาจึงได้แต่รักษาไปตามอาการ เช่น ปวดท้องก็ให้ยาแก้ปวด เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามวิธีที่แพทย์เน้นเป็นพิเศษเพื่อบรรเทาอาการทรมานที่ว่านี้ก็ คือ การเปลี่ยนรูปแบบวิถีชีวิตบางอย่างจะช่วยได้มาก ลองพิจารณาวิธีที่เราแนะนำต่อไปนี้แล้วลองนำไปปฏิบัติตามทีละขั้นเพื่อ บรรเทาอาการไม่สบายตัวในช่วงมีประจำเดือนให้รู้สึกดีขึ้น
- รับประทานผลไม้ ผัก ธัญพืชต่างๆ ที่มีกากใยเป็นประจำสม่ำเสมอ
- ลดเกลือ หรืออาหารเค็ม เพราะเกลือจะมีผลต่ออาการบวมน้ำ และการตึงคัดที่เต้านม
- จำกัดการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ทั้งในชา กาแฟ ช็อคโกแลต รวมทั้งเครื่องดื่มประเภทโคคา-โคลา เพราะคาเฟอีนก็มีผลต่อการระคายเคืองและตึงคัดที่เต้านมเช่นเดียวกัน
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเวลาที่คุณรู้สึกหดหู่หรือเครียด
- พยายามทำจิตใจให้ผ่องใส ไม่จมอยู่ในความเครียด ด้วยการหาวิธีผ่อนคลายแบบต่างๆ เช่น การนั่งสมาธิ เล่นโยคะ การบำบัดโดยใช้กลิ่นหอมเข้าช่วย (อโรมาเธราปี) แม้กระทั่งการนอนแช่น้ำอุ่นๆ เวลาอาบน้ำสักพักหนึ่ง
- การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยครั้งละประมาณ 30 นาที 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ นอกจากจะช่วยลดความเครียดแล้ว ยังช่วยให้คลายความหงุดหงิดและรู้สึกกับตัวเองดีขึ้นมาก
- หากเกิดอาการข้อเท้าบวม ให้บรรเทาด้วยการนอนราบ และยกขาขึ้นสูง
- ปรึกษาแพทย์ถึงการได้รับสารอาหารบางชนิดเพิ่มขึ้น เช่น วิตามินบี วิตามินอี แคลเซียม แมกนีเซียม หรือน้ำมันดอกอีฟนิ่งพริมโรส
- หากอาการเป็นมาก ควรพบแพทย์
- ที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ควรพูดคุยถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นและอาการที่เป็นกับคู่ของคุณ หรือคนใกล้ชิด เพื่อให้เขาเข้าใจ และจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระที่คุณต้องทำ เช่นช่วยเลี้ยงลูก หรือทำงานบ้าน รวมทั้งไม่ถือสาหาความกับคุณ ในเวลาที่คุณหงุดหงิดฉุนเฉียว หรือไม่สบายตัว
ใน เมื่อ คุณต้องเผชิญกับช่วงระหว่างเวลาแห่งทุกข์อย่างนี้เป็นประจำทุกเดือน ก็คงยากที่จะเลี่ยงพ้น แต่คุณก็สามารถทำให้ตัวเองมีความสุขกับชีวิตได้ ด้วยการเข้าใจในธรรมชาติในแบบที่มันเป็น และให้รางวัลกับชีวิตด้วยการหากิจกรรมรื่นรมย์ต่างๆ ทำ ออกไปช้อปปิ้งให้สบายใจ หรือไปทำผม ทำเล็บ นวดหน้า อย่างไรที่มีความสุขก็ทำซะ แล้วคุณจะพบว่าคุณสามารถผ่านช่วงเวลาเหล่านี้ได้ไม่ยากเลย
ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น